วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ต้อนรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีก กับ“คอมมิวนิตี้ชิลด์”



ปี 2010 เป็นปีของฟุตบอลโลกบนพื้นแผ่นดินแอฟริกาเป็นครั้งแรก ทำให้ช่วงเวลาทรมานสำหรับคนที่พลีใจและกายให้กับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอย่างผมรู้สึกดีกว่าปีอื่นๆเพราะมีมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษญชาติคั่นกลางเป็นเวลา 1 เดือน โดยแชมป์ก็เป็นที่ทราบกันดีของทุกคนทั้งผู้เสพบอลทุกลมหายใจเข้าออก เสพแบบพาสไทม์ หรือเสพตามกระแส แม้แต่ย่าของผมก็ยังทราบ ว่า ทีมกระทิงดุเสปนเป็นแชมป์ พร้อมกับการแจ้งเกิดของปลาหมึกพอล ที่แย่งซีนมหกรรมฟุตบอลลกครานี้ไปเต็มๆ


หลังจบฟุตบอลโลกก็เป็นระยะเวลาทรมานแบบสั้นๆกับการรอคอยฤดูกาลฟุตบอลที่เฝ้าติดตามมาทั้งชีวิต (ติดตามจริงจังไม่ถึงสิบปี อิอิ) จวบจนวันนี้(8สิงหาคม2553) สัญญานความสุขของผมกำลังจะกลับมาอีกครั้งกับการได้ชมทีมรัก (เชลซี) ลงแข่งรายการกุศล “คอมมิวนิตี้ชิลล์” กับคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อที่สุด ณ เวลาปัจจุบัน “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” สโมสรจากเมืองแมนเชสเตอร์ อดีตแชมป์ลีกสูงสุด 18 สมัยและแชมป์รายการนี้ 17 สมัย ซึ่งจะเตะกันในเวลา 21.00น.(เวลาประเทศไทย)


การแข่งขันฟุตบอลรายการ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ หรือที่รู้จักกันดีในนามเดิมคือ แชริตี้ ชิลด์ เป็นฟุตบอลรายการการกุศลชิงโล่ (Sileld ชิลด์ แปลว่า ถาดหรือโล่ห์) จัดโดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษ(FA) ซึ่งเป็นธรรมเนียมคือเตะก่อน 1สัปดาห์ ก่อนศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจะเปิดอย่างเป็นทางการ โดยสิทธิ์ในการแย่งถาดใบนี้คือทีมแชมป์ลีกสูงสุด(พรีเมียร์ลีก) และแชมป์เอฟเอคัพ มาชิงถาดการกุศลใบนี้ แต่เนื่องจากแชมป์ทั้งสองรายการตกเป็นของทีมจากลอนดอน(เชลซี)สิทธิ์จึงเป็นของรองแชมป์ลีกสูงสุด คือ เหล่าอสูรแดง ศิษย์ป๋าเฟอร์กี้ แมนเชสเตอร์ ยูในเต็ดซึ่งได้รองแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
จริงๆแล้วฟุตบอลคู่นี้ในรายการนี้ก็เหมือนเอาหนังม้วนเก่ามาฉายใหม่ เพราะเมื่อฤดูกาลที่แล้วก็เป็นคู่นี้ที่มีสิทธิ์เข้าชิงถาดการกุศลใบนี้และเป็นเชลซีที่เป็นฝ่ายเอาชนะจุดโทษหลังจากเสมอกันในเวลา 2-2 แถม 3 ใน 5 ครั้งหลังสุดก็เป็นคู่นี้ที่ฟาดแข้งกันในรายการนี้ และ 8 ครั้งหลังสุดเราจะได้เห็นทีมใดทีมหนึ่งหรือทั้งสองทีมนี้ลงแข่งรายการนี้ ซึ่งสถิติดังกล่าวเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่า ณ เวลานี้สองทีมนี้คือ ทีมที่ดีที่สุดและมีมาตฐานสูงกว่าทีมอื่นๆบนเกาะอังกฤษอย่างเห็นได้ชัด


ถึงแม้จะเป็นรายการการกุศลและเหมือนจะไม่ได้มีเกียติยศอะไรมาประดับสโมสรจาการครองถาดใบนี้แต่ถ้ามองให้ลึกสำหรับเกมวันนี้ถือเป็นเกมที่มีความสำคัญกับทั้งสองทีมเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือชั่วโมงนี้มีแต่สองทีมนี้เท่านั้นที่ถือได้ว่าแย่งชิงความยิ่งใหญ่กันอยู่เพราะฉะนั้นการเอาชนะคู่ต่อสู้สำคัญได้เหมือนเป็นการสร้างพลัง มีผลต่อสภาพจิตใจ และความหึกเหิมของนักเตะ กุนซือ และแฟนบอล ที่กำลังจะเจอกับภารกิจอันยิ่งใหญ่และหนักอึ้งอีก 8 เดือนข้างหน้า เพราะการออกสตาร์ทดี ก็ทำให้เดินทางสะดวกยิ่งขึ้น และอีกมุมหนึ่งก็เป็นการบั่นทอนกำลังใจของผู้แพ้


ดังนั้นเกมนี้ไม่ได้ใช่เกมชิงถาดการกุศลธรรมดา แต่มันอาจหมายถึง ศักดิ์ศรี กำลังใจ พลังที่จะได้มาจากการชนะ และผมก็เชื่อว่าสองทีมที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดชั่วโมงนี้บนเกาะเกาะอังกฤษคงไม่ยอมกันง่ายๆและคงสู้เต็มที่เพราะมันไม่ใช่เกมการกุศลอย่างที่คนทั่วไปมอง “แต่มันคือเกมชิงชนะเลิศในมุมมองของทั้งสองทีม”

“และตอนนี้ผมเฝ้าทนรอให้เวลานั้นมาถึงไม่ไหวแล้ว”

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กล้องปัญญาอ่อน?

กล้องปัญญาอ่อน กล้องป๊อกแป๊ก กล้องกิ๊กก๊อก ฯลฯ คือนิยามที่คนส่วนใหญ่ที่มีกล้องดิจิตอลคอมแพ็ค(Digital Compact Camera) มักพูดถึงกล้องตัวเอง จะด้วยเหตุผลน้อยเนื้อต่ำใจในความสามรถของกล้องตัวเอง จะด้วยความอายที่ไม่มีกล้องตัวใหญ่เลนส์โตๆ เหมือนคนอื่น หรือจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ มันคงไม่ยุติธรรมที่จะนิยามกล้องที่มี นักวิจัย วิศวกร ช่างภาพอาชีพ ศิลปิน หลายสิบหลายร้อยคนระดมสมองสร้างและผลิตกล้องชนิดนี้มาโดยที่ให้คนที่ไม่สามารถงัดประสิทธิภาพมันออกมา แล้วดิสเครดิตว่ากล้องของตัวเอง เป็นกล้องปัญญาอ่อน กล้องป๊อกแป๊ก กล้องกิ๊กก๊อก


ด้วยเหตุผลทางการเงิน เหตุผลการพกพา เหตุผลเรื่องดีไซด์ ฯลฯ ล้วนคือเหตุผลที่เราจะเลือกกล้องสักตัวมาเป็นเจ้าของ แต่นอกเหนือเหตุผลข้างต้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่าซื้อมาเพื่อถ่ายรูป


ด้วยที่มันคือกล้องคอมแพ็ค (Compact) คือ ใช้ง่าย สะดวก เล็ก ราคาถูก พกพาสะดวก มีโอกาสใช้ได้บ่อย นี่แหละคือสิ่งมันเหนือ กว่า กล้อง D SLR (Digital Single Lens Replex) ที่มีเลนส์ใหญ่ หนักๆ ราคาสูง


และด้วยปัจจุบัน เทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์รุดไปข้างหน้าจนเราตามไม่ทัน ส่งผลให้วงการถ่ายภาพก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วไปด้วย รวมถึงกล้อง ที่มีความสามารถและความฉลาดมากกว่ายุคสมัยก่อนอย่างไม่น่าเชื่อ คุณภาพไฟล์ภาพของกล้องดิจิตอลคอมแพ็ค(บางรุ่น)มีคุณภาพใกล้เคียงกับกล้องDSLR(บางรุ่น) ซึ่งตัดสินด้วยตาเปล่าไม่ได้


กล้องดิจิตอลคอมแพ็คบางรุ่นในปัจจุบันมีความสามารถหลายอย่างที่ใกล้เคียงและเลียนแบบกล้องDSLR ทั้งฟั่งชั่นการตั้งค่าด้วยตนเอง (Manual)แบบ100 % ฟังชั่น อัตโนมัติ(Auto,Mode P) ฟังชั่นกึ่งอัตโนมัติ (Mode A,S,Av) และมีฟังชั่นอีกหลายอย่างที่กล้องDSLRไม่มี เช่น ฟังชั่นอัจฉริยะ ฟังชั่นการตั่งค่าในสถานการณ์ต่างๆ ความสามรถกันน้ำ (บางรุ่น) เป็นต้น

หากคุณไม่ใช่ช่างภาพอาชีพ ( ผู้ที่มีรายได้หลักจากการถ่ายภาพ) หากคุณไม่ได้มีอารมณ์ติสกำเริบจนแตกตลอดเวลา หากคุณไม่ค่อยหรือไม่เคยเลยที่อัดรูปไม่เกิน 8x10นิ้ว ฯลฯ


ในเมื่อคุณเพียงรักในการเก็บภาพภาพประทับใจ ในเมื่อคุณเก็บรูปในแบบดิจิตอล(เก็บในคอมซะส่วนใหญ่) ในเมื่อคุณอยากได้ความคุ้มค่าจากกล้องเมื่อเทียบกับราคา ในเมื่อคุณขี้เกียจพกพาอะไรที่มันใหญ่เทอะทะ ผมว่ากล้องดิจิตอลคอมแพ็คนี่แหละคือสิ่งที่ตอบโจทย์ดังกล่าวได้ดีนักแล

(ภาพจากกล้อง FUJIFILM FinpixS700)


(ภาพจากกล้อง FUJIFILM Finpix zw33)


(ภาพจากกล้อง Canon Powershot S5)


(ภาพจากกล้อง Panasonic Lumix LX3)


ถ้ามีใครมาถามผมว่ามีกล้องหรือป่าว ผมจะตอบอย่างภาคภูมิใจพร้อมหยิบกล้องคอมแพ็คของผมออกมาพร้อมกับบอกว่า “ ผมมีกล้องเทพครับ”


และสุดท้ายถ้ายังคิดว่าเป็นกล้องปัญญาอ่อน กล้องป๊อกแป๊ก กล้องกิ๊กก๊อก
จริงๆแล้วผมว่าเจ้าของกล้องมากว่าที่เป็นคนปัญญาอ่อน คนป๊อกแป๊ก คนกิ๊กก๊อก ที่คิดกับกล้องแบบนี้

โอกาสหน้าผมจะมาบอกว่า “แล้วทำยังไงล่ะถึงจะถ่ายภาพจากกล้องคอมแพ็คออกมาดี?”
Comingsoon…

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้”

"Imagination is more important than knowledge" หนึ่งในวาทะอมตะของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

.....บ่อยครั้งที่จินตนาการของผมมันผุดขึ้นมาในหัวสมองแล้วพยายามจะแล่นไปเรื่อย ใช้เวลาน้อยบ้างมากบ้างในการโลดแล่นอยู่ในสมองของผมโดยที่ผู้คนรอบข้างมิอาจรับรู้ได้เลยว่าสมอง จิตใจ และความรู้สึกของผมคิดอะไรอยู่
....บ่อยครั้งที่ต้องการสังคมต้องการเพื่อนนั่งพูดคุยเสวนาปรึกษาหารือ หรือระบายความในใจ ผ่านตัวกลาง กาแฟ หรือ แอลกอฮอล์
....บ่อยครั้งที่อารมณ์ศิลปินมันพรุ่งพล่าน อยากเสพและเผยแพร่งาน แต่ไม่มีเวที(สำหรับผม)
....ในเมื่อจินตนาการ อารมณ์ มันผุดมาเป็นระยะและครั้งคราวโดยไม่มีกำหนดการบอกล่วงหน้า ปกอบกับสังคม และเพื่อนฝูงมิอาจตอบสนอง รับรู้และรับฟังผมได้ทุกเวลา Blog จึงน่าจะตอบโจทย์และความต้องการ(need) ข้างต้นของผม ที่จะได้ปลดปล่อย จินตนาการ ความรู้สึก ความคิดเห็น และตัวตนของผมสู่สาธารณะ
....และวาทะอมตะของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
“Imagination is more important than knowledge” ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไร กับสิ่งผมกล่าวมาข้างต้นเลย